
แม้ว่าวัยเด็กจะไม่ใช่กลุ่มเสี่ยงสำคัญของโรคหัวใจ แต่โรคหัวใจในเด็กสามารถส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อพัฒนาการและคุณภาพชีวิต การทำความเข้าใจโรคหัวใจในเด็กตั้งแต่สาเหตุ อาการ วิธีวินิจฉัย การรักษา และการป้องกันเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม
โรคหัวใจในเด็กสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก
1. โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด (Congenital Heart Disease)
เป็นโรคหัวใจที่เด็กเกิดมาพร้อมกับความผิดปกติของโครงสร้างหัวใจหรือหลอดเลือด เช่น รูรั่วในผนังหัวใจ ลิ้นหัวใจตีบ หรือหลอดเลือดผิดปกติ ซึ่งสามารถตรวจพบโดยแพทย์ตั้งแต่ก่อนคลอด หลังคลอด หรือตรวจพบเมื่อเป็นผู้ใหญ่ ในกรณีที่ตรวจพบเมื่อเป็นผู้ใหญ่อาจมีอาการรุนแรงจนไม่สามารถผ่าตัดได้ แต่โรคหัวใจพิการแต่กำเนิดบางชนิดก็ใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยไม่ต้องรักษา เพียงแต่ต้องดูแล ระวัง และป้องกันภาวะแทรกซ้อน เช่น ลิ้นหัวใจตีบเล็กน้อย รูในผนังหัวใจขนาดเล็ก เป็นต้น
2. โรคหัวใจที่เกิดขึ้นภายหลัง (Acquired Heart Disease)
เป็นโรคหัวใจที่เกิดขึ้นหลังจากเด็กเกิดแล้ว เช่น
- โรคหัวใจรูห์มาติก ที่เกิดจากไข้รูห์มาติก ทำให้มีลิ้นหัวใจรั่ว และ/หรือตีบ
- โรคไข้คาวาซากิ ซึ่งมักพบในเด็กเล็ก อาจทำให้มีเส้นเลือดหัวใจโคโรนารีโป่งพอง
- โรคลิ้นหัวใจจากการติดเชื้อ โดยเฉพาะเชื้อแบคทีเรียเกือบทุกชนิดอาจเป็นสาเหตุการอักเสบของหัวใจ
- โรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส ที่นำไปสู่การอักเสบของกล้ามเนื้อหัวใจ ซึ่งในบางรายอาจเป็นสาเหตุของภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน
- ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ที่พบส่วนใหญ่ในเด็กจะเป็นชนิดเต้นเร็วผิดปกติ มักมีอาการเป็น ๆ หาย ๆ และอาจนำไปสู่ภาวะหัวใจวายและเสียชีวิตได้
อาการที่พบบ่อยในเด็กที่มีโรคหัวใจ
อาการของโรคหัวใจในเด็กอาจแตกต่างกันไปตามประเภทและความรุนแรงของโรค ตัวอย่างอาการที่พบบ่อย ได้แก่
- หายใจลำบาก หอบเหนื่อยง่าย
- ริมฝีปากและเล็บเขียวคล้ำ (Cyanosis)
- น้ำหนักตัวขึ้นช้า หรือการเจริญเติบโตล่าช้า
- ใจสั่น หน้ามืด หรือเป็นลมบ่อย ๆ ซึ่งอาจจะเกิดจากหัวใจเต้นผิดจังหวะ
- อ่อนเพลียง่าย และไม่สามารถทำกิจกรรมที่ใช้พลังงานได้เหมือนเด็กปกติ
การวินิจฉัยโรคหัวใจในเด็ก
การตรวจวินิจฉัยอย่างถูกต้องและรวดเร็วเป็นกุญแจสำคัญในการดูแลและรักษาอย่างเหมาะสม
1. การซักประวัติทางการแพทย์และการตรวจร่างกาย
- แพทย์จะสอบถามประวัติสุขภาพของเด็ก รวมถึงปัจจัยเสี่ยง เช่น ประวัติครอบครัวที่มีโรคหัวใจ หรือปัญหาที่เกิดในระหว่างตั้งครรภ์
- การตรวจร่างกาย เช่น การฟังเสียงหัวใจเพื่อค้นหาสัญญาณผิดปกติ เช่น เสียงฟู่ของหัวใจ (Heart Murmur)
2. การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram: ECG)
- ใช้ตรวจการทำงานของไฟฟ้าในหัวใจ เพื่อดูว่ามีภาวะหัวใจเต้นผิดปกติหรือไม่
3. การตรวจคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ (Echocardiogram)
- เป็นการตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงเพื่อดูโครงสร้างและการทำงานของหัวใจ เช่น การสูบฉีดเลือด ลิ้นหัวใจ หรือรูรั่วในผนังหัวใจ
4. การเอกซเรย์ทรวงอก (Chest X-ray)
- ใช้เพื่อประเมินขนาดและรูปร่างของหัวใจ รวมถึงหลอดเลือดและปอด
5. การตรวจหัวใจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Cardiac MRI)
- ใช้ในการตรวจโครงสร้างหัวใจอย่างละเอียด โดยเฉพาะในกรณีที่มีความผิดปกติซับซ้อน
6. การตรวจสมรรถภาพหัวใจ (Stress Test)
- ใช้ตรวจดูการทำงานของหัวใจขณะออกแรง เช่น การเดินบนสายพาน หรือการใช้ยาเพื่อกระตุ้นหัวใจ
7. การตรวจด้วยสายสวนหัวใจ (Cardiac Catheterization)
- เป็นการใส่สายสวนผ่านหลอดเลือดไปยังหัวใจ เพื่อวัดแรงดันเลือด และตรวจสอบความผิดปกติของหลอดเลือดหรือหัวใจ
การรักษาโรคหัวใจในเด็ก
การรักษาขึ้นอยู่กับประเภทและความรุนแรงของโรค
1. การรักษาด้วยยา ช่วยควบคุมอาการหรือรักษาภาวะแทรกซ้อน เช่น ยาขยายหลอดเลือดหรือยาควบคุมจังหวะหัวใจ
2. การผ่าตัด ในกรณีที่โครงสร้างหัวใจผิดปกติ เช่น การซ่อมแซมผนังหัวใจรั่ว หรือการเปลี่ยนลิ้นหัวใจ
3. การใส่อุปกรณ์ช่วย เช่น การใส่สายสวนหัวใจหรือเครื่องกระตุ้นหัวใจ
การป้องกันโรคหัวใจในเด็ก
- ดูแลตั้งแต่การตั้งครรภ์ หญิงตั้งครรภ์ควรฝากครรภ์และดูแลสุขภาพอย่างใกล้ชิด หลีกเลี่ยงสารที่เป็นอันตราย เช่น บุหรี่และแอลกอฮอล์
- การฉีดวัคซีน เพื่อป้องกันโรคที่อาจนำไปสู่การติดเชื้อหัวใจ เช่น โรคหัดและไข้รูมาติก
- การส่งเสริมสุขภาพ ด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกาย และตรวจสุขภาพเป็นประจำ
โรคหัวใจในเด็กส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตและพัฒนาการของเด็กอย่างมาก การใส่ใจต่อสุขภาพหัวใจของเด็กตั้งแต่เนิ่น ๆ การให้ความรู้กับผู้ปกครอง และการสนับสนุนจากระบบสาธารณสุขล้วนมีบทบาทสำคัญในการลดความเสี่ยงและผลกระทบของโรคหัวใจในเด็กอย่างมีประสิทธิภาพ