นพ. ชลน่าน เปิดศูนย์หัวใจและหลอดเลือด อาคารใหม่ โรงพยาบาลพัทลุง
ให้บริการไร้รอยต่อ ลดรอคอย ต้นแบบ สธ.ร่วมเอกชนรักษาโรคยาก 

ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2567 – นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานในพิธีเปิดศูนย์หัวใจและหลอดเลือด อาคารใหม่ โรงพยาบาลพัทลุง พร้อมเยี่ยมชมการทำงานของแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ในห้องปฏิการตรวจสวนหลอดเลือดหัวใจ (Cath Lab) และเยี่ยมให้กำลังใจแก่ผู้ป่วยในหอผู้ป่วยวิกฤต (Cardiac Care Unit : CCU) โดยมีนางนิศากร วิศิษฏ์สรอรรถ ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง, นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข, นายสุรชาติ เทียนทอง เลขานุการรัฐมนตรีและผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขเข้าร่วมงาน 

นายแพทย์สุทธิรักษ์ บัวแก้ว ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพัทลุง กล่าวถึงที่มาของศูนย์หัวใจฯ รพ.พัทลุง ว่า “โรงพยาบาลพัทลุงเป็นโรงพยาบาลประจำจังหวัด ซึ่งทำหน้าที่เป็นโรงพยาบาลแม่ข่ายในจังหวัดพัทลุง ให้บริการ รับปรึกษา รับส่งต่อ ดูแลรักษาผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งจังหวัดพัทลุงมีอัตราการเสียชีวิตจากโรคดังกล่าว ตั้งแต่ ปี 2558–2561 เท่ากับ 28.60 ,24.41 ,54.22 และ 38.76 ต่อประชากรแสนคน ด้วยข้อจำกัดหลายด้าน ทั้งการขาดแคลนแพทย์เฉพาะทาง บุคลากรในสาขาโรคหัวใจ อุปกรณ์ทางการแพทย์ เทคโนโลยีในการตรวจวินิจฉัย และรักษาผู้ป่วยโรคหัวใจ อีกทั้งในการส่งต่อผู้ป่วยก็มีข้อจำกัด โรงพยาบาลพัทลุงจึงร่วมกับภาคีเครือข่ายด้านสุขภาพของจังหวัด นำโดยผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง ประชุมปรึกษาหารือความเป็นไปได้ในการจัดตั้งศูนย์หัวใจ เพื่อเพิ่มศักยภาพการรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือดในจังหวัดพัทลุงและพื้นที่ใกล้เคียง เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการได้อย่างเท่าเทียม ลดอัตราการเสียชีวิต ลดการรอคอย และลดค่าใช้จ่าย”

ศูนย์หัวใจและหลอดเลือด โรงพยาบาลพัทลุง เปิดให้บริการครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2561 ให้บริการ ตรวจวินิจฉัย รักษา ทำหัตถการและผ่าตัดให้กับผู้ป่วยกลุ่มโรคหัวใจและโรคหัวใจขาดเลือด ด้วยความร่วมมือจากบริษัท ธนบุรี เสริมรัฐ จำกัด ที่เข้ามาลงทุนเครื่องมืออุปกรณ์ที่ทันสมัย บุคลากรและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านโรคหัวใจ ส่วนโรงพยาบาลพัทลุง ทำหน้าที่กำกับดูแลให้การสนับสนุน ถือเป็นอีกหนึ่งต้นแบบที่ภาครัฐผนึกกำลังกับภาคเอกชน เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการรักษากับแพทย์เฉพาะทางได้ทันท่วงที ด้วยบริการที่มีคุณภาพในระดับเดียวกับเอกชน โดยสามารถรับการรักษาผู้ป่วยได้ทุกสิทธิ์โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เพื่อพัฒนาระบบสาธารณสุขไทยให้ยั่งยืนมั่นคงและคนไทยทุกคนสามารถเข้าถึงได้ 

ดร.สุวดี พันธุ์พานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ธนบุรี เสริมรัฐ จำกัด ในเครือธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป หรือ THG กล่าวว่า “การที่ศูนย์หัวใจและหลอดเลือด โรงพยาบาลพัทลุง ย้ายจากที่ตั้งเดิมมายังอาคารใหม่ที่มีการปรับปรุงขยับขยายพื้นที่และเพิ่มจำนวนเตียงในหอผู้ป่วยวิกฤตเป็น 16 เตียง โดยเปิดให้บริการตามมาตรฐานวิชาชีพตลอด 24 ชั่วโมง จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการดูแลประชาชนจังหวัดพัทลุงและพื้นที่ใกล้เคียง อาทิ ตรัง นครศรีธรรมราช กระบี่ พังงา ให้เข้าถึงบริการตรวจรักษาโรคหัวใจอย่างปลอดภัย ลดอัตราการเสียชีวิต อีกทั้งยังตั้งเป้าหมายว่าจะสามารถให้บริการผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอีก 35% ต่อปี ซึ่งนับตั้งแต่เปิดให้บริการเมื่อปี 2561 จนถึงปัจจุบัน ศูนย์หัวใจฯ ได้ทำหัตถการหัวใจช่วยชีวิตผู้ป่วยไปแล้วกว่า 10,999 ราย และผ่าตัดหัวใจสำเร็จแล้วกว่า 369 ราย” 

ปัจจุบัน ศูนย์หัวใจฯ รพ.พัทลุง เปิดให้บริการครอบคลุมดังนี้ การฉีดสีหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Angiogram : CAG), การขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูนและใส่ขดลวด (Percutaneous Coronary Intervention : PCI), การขยายหลอดเลือดตีบแบบซับซ้อนโดยการใช้หัวกรอเพชร (Rotablator), การจี้ไฟฟ้าหัวใจด้วยคลื่นความถี่วิทยุ (Radiofrequency Ablation : RFA), การตรวจทางสรีระวิทยไฟฟ้า (Eletrophysiology Study : EPs), การใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Permanent Pacemaker), การฝังเครื่องกระตุกไฟฟ้าหัวใจ (Implantable Cardioverter Defiblllator), การผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ (Coranary Artery Bypass Grafting : CABG) รวมถึงการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจ (Valve Replacement Surgery) ด้วย 

การดำเนินธุรกิจของบริษัท ธนบุรี เสริมรัฐ จำกัด เป็นโมเดลที่ THG ต้องการเข้าไปบริการสังคมและชุมชนให้เกิดความยั่งยืน โดยร่วมมือกับหน่วยงานรัฐแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากร การบริหารจัดการต้นทุน เพิ่มการเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีประสิทธิภาพแก่ประชาชน โดยปัจจุบันบริษัท ธนบุรี เสริมรัฐ จำกัด ได้รับผิดชอบดูแลธุรกิจบริหารศูนย์หัวใจ จำนวน 3 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลธนบุรี ทวีวัฒนา, ศูนย์การแพทย์ปัญญานันทภิกขุชลประทาน มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และโรงพยาบาลพัทลุง โดยการบริหารศูนย์หัวใจร่วมกับโรงพยาบาลพัทลุงแห่งนี้ เป็นแบบอย่างศึกษาเรียนรู้ให้กับโรงพยาบาลต่าง ๆ เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนารูปแบบการให้ผู้ป่วยต่อไป